คัมภีร์ไดร์ฟไกลตอนที่ 1 ทําไมต้องตีไกล

เรียบเรียงโดย เฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร

09 Sep 2016
  • Shares:

 

เราตีไดรเวอร์กันได้ไกลแค่ไหน ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

     ในปี 2007 มีการทดสอบนักกอล์ฟชาวอังกฤษกว่า 200 คน พบว่านักกอล์ฟไดรฟได้ระยะทางที่สั้นกว่าที่ตัวเองคิดเฉลี่ย 17 หลา

     บางครั้งความเข้าใจอะไรๆ ที่คลาดเคลื่อนของนักกอล์ฟ

     อาจเป็นกําแพงขวางกั้นการพัฒนาของนักกอล์ฟเอง

      ต่อไปนี้เป็นกราฟแสดงระยะทางการตีไดร์ฟเวอร์ของนักกอล์ฟที่ทําการทดสอบกันในงานลอนดอนกอล์ฟโชว์ โดยมีนักกอล์ฟกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 200 คน ซึ่งมีระดับฝีมือที่แตกต่างกัน การทดสอบครั้งนี้เพื่อหาว่า นักกอล์ฟตีไดร์ฟเวอร์กันได้ระยะเท่าไหร่กันแน่

 

     นักกอล์ฟแต่ละคนจะถูกตั้งคําถามก่อนที่จะตีว่า เขาคิดว่าตัวเองตีไดรเวอร์ได้ระยะทางเท่าไหร่กัน การทดสอบนี้ใช้เครื่อง Launch Monitor ที่เป็นระบบเรดาร์ในการวัดค่าพารามิเตอร์ต่างๆ และประมวลผลที่ตีได้ออกมา 

     จากภาพเห็นว่ามันมีความแตกต่างอย่างมากมายระหว่างระยะทางที่นักกอล์ฟคิด กับระยะทางที่ตีได้จริงๆ นักกอล์ฟบางคนอาจจะตีได้ระยะที่ใกล้เคียงกับที่ตัวเองคิด หรือตีได้ระยะมากกว่า แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย กว่าร้อยละ 60 % บอกว่าตัวเองตีได้ระยะ 250 หลา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น นักกอล์ฟตีได้ระยะทางที่น้อยกว่านั้นมาก 

     ความเข้าใจผิดในเรื่องระยะทางที่ตัวเองไดรฟได้จริงนั้น อาจนําไปสู่การเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมผิดพลาด เช่นการใช้ไดรเวอร์ที่องศาหน้าไม้ต่ำเกินไป ความแข็งของก้านแข็งเกินไป ทําให้สุดท้ายแล้วนักกอล์ฟจะไดร์ฟไม่ได้ระยะอย่างที่ควรจะเป็น

 

แน่นอนว่าการไดร์ฟให้ตรงมีความสําคัญกว่าการไดร์ฟให้ไกล 

แต่อย่างไรก็ตาม เกมกอล์ฟของคุณจะง่ายขึ้นมาก 

ถ้าคุณไดร์ฟได้ระยะทางที่ไกลเพียงพอ 

มีคํากล่าวของฝรั่งกล่าวไว้ว่า Drive For Show Putt For Dough ซึ่งแฝงความหมายไว้ประมาณว่า การไดร์ฟนั้นมีไว้สําหรับโชว์ แต่การพัตต์นั้นเพื่อเงิน เป็นคํากล่าวที่มุ่งเน้นให้นักกอล์ฟให้ความสําคัญกับการพัตต์มากกว่าการไดร์ฟ หากเรามองเรื่องนี้อย่างไม่ถี่ถ้วนมากนัก ก็เห็นว่าคําสอนดังกล่าวคงจะเป็นจริง เนื่องมาจากว่าเวลาที่เราดูทีวีถ่ายทอดสดกอล์ฟ จะเห็นว่านักกอล์ฟที่ชนะการแข่งขันมักจะพัตต์ได้ดี สามารถพัตต์ต่ำกว่า 30 พัตต์

เช่น

ผู้ชนะการแข่งขันนั้นอาจทํา 25 พัตต์ 

การที่นักกอล์ฟสามารถทําสโตรคพัตต์ต่อรอบได้ต่ำนั้น มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ลักษณะใหญ่ด้วยกัน คือนักกอล์ฟคนนั้นตีออนตามเรคกูเรชั่นมาก และพัตต์เบอร์ดี้ลงมาก ค่าสโตรคการพัตต์ก็จะน้อย หรืออีกกลุ่มหนึ่งคือนักกอล์ฟตีออนตามเรคกูเรชั่นน้อยมาก แต่ทําอัพแอนด์ดาวน์ได้ดี ชิพเข้ามาใกล้ธง และเก็บ 1 พัตต์ เซฟพาร์ไปเรื่อยๆ ค่าสโตรคการพัตต์ก็จะน้อยเหมือนกัน 

 

ในความเป็นจริงแล้วการที่นักกอล์ฟจะสามารถทําสกอร์ได้ดีนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพัตต์นั้นมีผลค่อนข้างมาก แต่สถิติการพัตต์ที่มีผลนั้นอยู่ตรงสถิติการพัตต์เมื่อออนตามเรคกูเรชั่น (Putt Per GIR)

นักกอล์ฟที่ตีออนตามเรคกูเรชั่นมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะพัตต์เบอร์ดี้ก็มีมากเท่านั้น

นักกอล์ฟ A ทํา 25 พัตต์  ออนตามเรคกูเรชั่น 7 หลุม สกอร์ต่ำสุดที่เป็นไปได้ สแควร์พาร์ (หลุมที่ตีไม่ออน 11 หลุม ทําได้ 1 พัตต์ หลุมที่ตีออน 7 หลุม ทํา 2 พัตต์ และไม่มีหลุมไหนตีพาร์ 5 สองออน) 

นักกอล์ฟ  B ทํา 25 พัตต์ ออนตามเรคกูเรชั่น  18 หลุม สกอร์ต่ำสุดที่เป็นไปได้ 11 อันเดอร์ (ทํา 1 พัตต์ได้ทั้งหมด 11 หลุม ที่เหลืออีก 7 หลุมทํา 2 พัตต์ และไม่มีหลุมไหนตีพาร์ 5 สองออน)   

โดยนักกอล์ฟที่มีค่าเฉลี่ยการพัตต์ต่อรอบต่ำมากๆ มักตีออนตามเรคกูเรชั่นน้อย เนื่องมาจากว่าการชิพให้ใกล้ธงเพื่อเก็บ 1 พัตต์นั้นง่ายกว่าการตีจากระยะไกลเข้ามาให้ใกล้หลุมเพื่อเก็บเบอร์ดี้ 

ตารางที่ 1 สถิติค่าเฉลี่ยการพัตต์ต่อรอบกับการตีออนตามเรคกูเรชั่นปี 2007

 

ข้อสรุปของตารางข้างต้นนี้นํามาซึ่งข้อเท็จจริงว่าการพัตต์ไม่ได้เป็นปัจจัยที่สําคัญเพียงอย่างเดียวในการทําสกอร์ในการเล่นกอล์ฟดี แต่การไดร์ฟให้ได้ระยะไกลเพียงพอจะช่วยเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟมีโอกาสได้จับพัตเตอร์มากขึ้น เพื่อพัตต์ทําเบอร์ดี้ มิใช่เพียงแค่พัตต์เซฟพาร์ มีสถิติความเชื่อมโยงระหว่างระยะไดร์ฟกับการตีออนตามเรคกูเรชั่นในทัวร์ต่างๆ ของปี 2007 พบว่านักกอล์ฟที่ไดร์ฟไกล ก็จะมีโอกาสตีออนตามเรคกูเรชั่นมากขึ้น ส่วนเรื่องสกอร์เฉลี่ยของนักกอล์ฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญว่าเวลาที่ออนมากๆ แล้ว สามารถเก็บพัตต์ทําเบอร์ดี้ได้ด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็ตามการตีออนมากๆ โอกาสลุ้นเบอร์ดี้ก็มากตาม

ตารางที่ 2 สถิติการระยะไดร์ฟเฉลี่ยกับการตีออนตามเรคกูเรชั่น

 

ไทเกอร์ วูดส์ 

ระยะไดร์ฟเฉลี่ย 302.4 หลา 

ตีออนตามเรคกูเรชั่น 71.02 %

 

จัสติน โรส 

ระยะไดร์ฟเฉลี่ย 295.47 หลา 

ตีออนตามเรคกูเรชั่น 70.14 %

 

ลอรีน่า โอชัว 

ระยะไดร์ฟเฉลี่ย 270.6 หลา 

ตีออนตามเรคกูเรชั่น 73.1 %

 

 

นักกอล์ฟทั้ง 3 คนเป็นเบอร์หนึ่งของ 3 ทัวร์ใหญ่ในยุคนั้น

ระยะไดร์ฟของทั้ง 3 ไม่ได้ไกลที่สุดในทัวร์ แต่ได้ระยะที่เพียงพอที่จะตีช็อตต่อไปขึ้นกรีนอย่างไม่ยากเย็นนัก การตีออนตามเรคกูเรชั่นจึงมีเปอร์เซ็นที่สูงขึ้น เปิดโอกาสให้ทําสกอร์อันเดอร์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทําให้สามารถจบผลงานด้วยการเป็นที่หนึ่งในทัวร์ของตัวเอง 

จากความสัมพันธ์ของระยะไดร์ฟกับการตีออนตามเรคกูเรชั่นนั้น ช่วยให้นักกอล์ฟมองเห็นภาพมากขึ้นว่าการที่จะตีกอล์ฟให้ได้สกอร์ดีๆ นั้น ระยะไดร์ฟนั้นมีส่วนสําคัญเป็นอันดับแรกๆ ถ้าไดร์ฟไกล ช็อตต่อไปก็ตีง่ายขึ้น หากดูจากสถิติระยะไดร์ฟในทัวร์แล้ว ผู้ปกครองที่วาดฝันให้บุตรหลานมีโอกาสไปวาดลวดลายในทัวร์ต่างๆ ได้นั้น ระยะไดร์ฟสําหรับนักกอล์ฟชายควรอยู่ที่ 280 หลา ผู้หญิงควรอยู่ที่ 250 หลาขึ้นไป  ซึ่งระยะไดร์ฟดังกล่าวนั้น โอกาสในการตีออนตามเรคกูเรชั่นนั้นอยู่ในระดับที่สูงและไม่เป็นรองนักกอล์ฟที่ตีไกลกว่านั้น 

สําหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป ระยะไดร์ฟที่ทําให้เราเล่นกอล์ฟได้อย่างสนุกสนานนั้น  

สําหรับนักกอล์ฟชายควรอยู่ที่ 240 หลาขึ้นไป และนักกอล์ฟหญิงควรอยู่ที่ 200 หลาขึ้นไป ซึ่งระยะดังกล่าวนั้น นักกอล์ฟใช้ความเร็วหัวไม้เพียง 92 MPH และ 76 MPH  ก็สามารถทําระยะดังกล่าวได้ ซึ่งความเร็วหัวไม้ดังกล่าวสร้างขึ้นไม่ยากเย็นนัก เพียงแต่ใช้เทคนิคการสวิงให้ถูกต้อง และเลือกอุปกรณ์กอล์ฟให้เหมาะสม นักกอล์ฟก็สามารถไดร์ฟได้ระยะดังกล่าว 

ติดตามอ่าน คัมภีร์ไดรฟไกลตอนที่ 2 ต่ออาทิตย์หน้าครับ http://golferdigital.com/article/205/

 

เฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร

Chalermwong B.Kajorn

ผู้ดำเนินรายการตอบคำถามอุปกรณ์กอล์ฟ คลื่น FM99 รายการ Golf Trick ทุกวันศุกร์ เวลา 9:00-10:00 น.

7 / 9 /2559

https://www.facebook.com/GolferOnlineMag/

Official Line : @golferonline

Tags : ตีไกล , ไดรฟ 300 หลา , เทคนิคตีไกล , ไดรเวอร์ , Driver , Drivers , Wood , Woods , หัวไม้ , หัวไม้ 1 , FlightScope , LongestDrive , Longest Drive , Long Drive , LongDrive Power PowerTips Power Tips PowerTip PowerTip




SOCIAL SHARES

หากบทความนี้มีประโยชน์กับท่านหรือเพื่อนร่วมก๊วน ฝากกดแชร์ที่เครื่องหมาย F ด้านใต้ข้อความนี้ครับ ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านบทความของเรา


COMMENTS

OUR SPONSOR

OUR PARTNERS
  • partner 1
  • partner 2
  • partner 3
  • partner 4
  • partner 5
  • partner 6
  • partner 7
  • partner 8