ตามรอยช้างที่เขาใหญ่
เรียบเรียงโดย เฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร
07 Dec 2017
- Shares:
อาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสเข้าไปดื่มด่ำธรรมชาติบนเศษเสี้ยวหนึ่งของพื้นที่เขาใหญ่อันกว้างใหญ่ไพศาล จากคำชวนของเพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟประจำของผมที่ หลงใหลในธรรมชาติที่งดงามบนเขาใหญ่ เขาหลงใหลถึงขนาดซื้อที่ดินผืนสุดท้ายที่ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แทนที่จะซื้อในเขตชุมชนแออัดทองหล่อเขาใหญ่
เรานัดหมายกันว่า ก่อนเข้าป่าเราจะไปออกรอบที่สนามกอล์ฟเขาใหญ่ กอล์ฟ คลับ ตอนเช้าตรู่ แล้วเล่นให้เร็วที่สุด เพื่อไปเข้าป่าก่อนเที่ยง
ตัวผมเองไม่ได้ไปเขาใหญ่กอล์ฟคลับนานมากแล้ว จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปออกรอบที่นี่ เลย์เอ้าท์ดีมาก แต่สภาพยังไม่ค่อยดีนัก แต่วันนี้เขาใหญ่ กอล์ฟ คลับ สภาพดีมากเมื่อเทียบกับราคากรีนฟีที่จ่ายไปครับ อาจไม่ดีเทียบเท่าสนามห้าดาวที่แฟร์เวย์เนียนเป็นพรม แต่มันดีพอที่จะเล่นกอล์ฟอย่างสนุก ท่ามกลางขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ และเลย์เอ้าท์ที่เล่นสนุกมาก แฟร์เวย์ดี กรีนเยี่ยม แต่อาจจะมีทรายในบังเกอร์บางบ่อที่ใช้ทรายที่ผิดสเปค ทำให้หงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อตกทราย และไม่สามารถระเบิดให้ติดสปินตกหยุดได้ ทำได้เพียงระเบิดขึ้นไปออน แล้วลุ้นให้ลูกหยุดใกล้หลุมครับ ตอนที่เราไปถึงได้เล่นเป็นก๊วนที่ 2 ทำให้สามารถเล่นเสร็จภายใน 10 โมงตามแผนเราได้ ก่อนที่ไปเข้าป่าตามกำหนดคือก่อนเที่ยง
เราเริ่มต้นเดินจากปลายสุดของถนนลูกรังที่วิ่งมาสุดบ้านสุดท้ายที่ติดผืนป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ช่วงแรกของการเดินทางเป็นทางขึ้นตลอดทาง หลายช่วงเราต้องใช้วิธีปีนขึ้นไป เราเริ่มต้นเดินและปีนที่ความสูงระดับน้ำทะเลราว 450 เมตร เพื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่ระดับ 622 เมตร ก่อนที่จะลงไปที่ลำธารที่เป็นต้นน้ำของน้ำตกเจ็ดสาวน้อยซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของอำเภอโมกเหล็ก สระบุรี ระยะทางที่เราเดินในวันแรก 4.3 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง 25 นาที ไม่รวมเวลาหยุดพัก ในการเดินไปในจุดที่ตั้งใจจะไปตั้งแค้มป์พักข้างคืน ซึ่งเป็นสามแยกที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาอีกลูกซึ่งสูงระดับ 1,000 เมตร
ระหว่างที่เราเดินทางเข้าป่าไป ผมสังเกตเห็นทางเดินที่เราไป มีช่องว่างให้คนเดินผ่าน แต่ไม่เห็นเศษขยะจากคนทิ้ง ซึ่งมักเห็นตามทางเวลาไปตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ตามทางจะเห็นรอยมูลสัตว์ เท้าช้าง เท้ากระทิง หมู่ป่าเป็นระยะๆ ด้วยความสงสัยจึงถามพรานที่เป็นผู้นำทางว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนใช้ประจำหรือไม่ ก็ได้ความว่า ก็ไม่เชิง เพราะเส้นนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมานัก ส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน หรือคณะของเพื่อนผมซึ่งก็มาแค่ปีละครั้ง หลักๆ แล้วมันเป็นเส้นทางเดินของช้างและสัตว์ป่าอื่นๆ เป็นหลัก เพื่อไปหาอาหาร หรือลงไปที่ลำธารเพื่อเล่นน้ำ หรือกินน้ำ ตลอดทาง ตรงไหนมีต้นกล้วยป่า เราก็จะเห็นร่องรอยต้นกล้วยป่าถูกโค่นล้ม ทำลายๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะดงป่ากล้วย ซึ่งเมื่อเดินไปถึง ต้องหยุดดู มันเหมือนกับว่า มีการยกพวกลุยกันระหว่างช้างในป่า จนต้นกล้วยหลาย 10 ต้น ราบเป็นหน้ากอง
ระหว่างเดินทางไปเรื่อยๆ ผมคุยกับพี่เต่ย ด้วยความกังวลว่า เรากำลังเดินอยู่บนทางเดินประจำของช้าง มันจะเป็นอันตรายมั้ย ก่อนที่ผมจะเข้าป่ามา ผมศึกษาเทคนิคการวิ่งหนีช้างจากในยูทูปมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้องใช้วิธีวิ่งซิกแซก แต่ในป่าที่ผมกำลังจะเดิน แทบจะไม่มีช่องให้ซิกแซกเอาเลย เอาเป็นว่าเดินตามทางเดินให้เร็วยังยากเลย ผมถามด้วยคำถามเลี่ยงๆ ว่า
1.ปกติช้างจะมากินอาหารช่วงไหน
ช่วงเย็นๆ 5 โมงเย็นจนถึงกลางคืน และช่วงเช้าๆ
2.แล้วถ้าช้างไม่หาอาหารกิน จะทำอะไร
ก็ยืนเฉยๆ หลบอยู่ในป่า แล้วนอน
3.แล้วถ้าเราเดินๆ เจอช้าง จะทำอย่างไร
ถ้ามันขวางทางเราอยู่ เราก็ต้องหลบให้มัน แต่บางทีมันก็หลบให้เอง
4.ที่มีข่าวช้างวิ่งไปทำลายรถ หรือบิ๊กไบค์ มันเกิดจากอะไร
น่าจะเป็นช้างตกมัน หรือ คนไปบีบแตร ส่งเสียงดัง รบกวนมัน
5.เราจะรู้ได้ยังไงว่า ช้างตัวนี้หงุดหงิด หรืออารมณ์ดีปกติ
ให้ดูที่หู ที่หาง ถ้ามันสะบัดปกติ ก็อารมณ์ดี แต่ถ้ามันหันมาจ้องมองเรา ให้เฝ้าระวังไว้ มองมัน แล้วค่อยๆ ถอยหลัง หาที่หลบดีๆ แต่ถ้ามันมุ่งตรงมาหาเรานี่ ไม่ดีแน่ๆ งานเข้า
6.เพื่อความสบายใจ ผมขอถามคำถามสุดท้ายว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ ช่วงตกมัน ของมันหรือเปล่า
คำตอบคือไม่ใช่ครับ
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าผมกำลังเดินทับเส้นทางเดินหาอาหารและไปที่แหล่งน้ำของช้างอยู่ แต่ก็มีความสบายใจได้ว่า เดือนที่เรามา มิใช่เดือนที่ช้างจะตกมัน และเวลาที่เราเดินป่า ก็มิใช่เวลาประจำที่ช้างมาหาอาหาร แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราก็ต้องเดินป่า ด้วยความระวัง และสังเกตรอบตัวตลอดเวลา
ตอนใกล้ๆ 4 โมง เราเดินทางมาถึง ตำแหน่งที่ตั้งแค้มป์ ซึ่งสามารถผูกเปลนอน มีฟืนพอก่อกองไฟ ทำอาหาร และมีน้ำในลำธารสำหรับอาบ ดื่ม และนำไปทำอาหาร แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า เราไปตั้งแคมป์ขวางทางสัญจรของสัตว์ป่า ซึ่งพี่ใหญ่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ก็พูดไว้แบบนั้น แต่เนื่องจากช่วงนั้นใกล้มืดแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะหาแคมป์อื่น ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกราว 1 ชั่วโมง และผมลองคำนวณเวลา มันน่าจะเป็นเวลาที่ช้างใกล้จะออกหากินแล้ว เราจึงตัดสินตั้งแค้มป์ตรงนี้ แล้วก่อกองไฟ ดักหน้า ดักหลัง ทางที่ช้างจะเดินผ่าน ซึ่งเค้าบอกว่า ช้างจมูกไวมาก มันสามารถได้กลิ่นควันไฟจากระยะไกลๆ และมันจะไม่เข้ามาใกล้แคมป์ของเรา แต่อย่างไรก็ตาม คืนนั้นเจ้าหน้าที่ๆ พาเราขึ้นไป ก็สลับกันนั่งเฝ้ายามจนเช้า แต่คืนนั้นก็แอบมีบางคนนอนไม่หลับ เนื่องจากเปลที่ผูกไว้ที่ต้นไม้ ขวางทางเดินไว้เต็มๆ
เช้าวันที่ 2 เราออกสตาร์ทเดินทางต่อเวลาเกือบ 10 โมง ช่วงที่เดินจากแคมป์มา 900 เมตร ผมสังเกตเห็นรอยเท้าช้างที่เป็นรอยใหม่ ไม่นานมาก จึงถามพี่ใหญ่ว่า นี่รอยนานหรือยัง พี่ใหญ่ตอบว่า รอยนี้เพิ่งเมื่อคืน มันน่าจะเดินไปป่ากล้วย แต่ได้กลิ่นควันก่อน จึงหาทางเดินอ้อมไปทางอื่น แสดงว่าควันไฟ ก็น่าจะใช้ได้ผล
วันที่ 2 การเดินของเรา จะเดินอยู่ในลำธารเป็นหลักๆ เพราะ 2 ฝั่งตลิ่งค่อนข้างชัน และรก เดินยาก บางช่วงเราต้องเดินในลำธารที่น้ำสูงเกือบถึงก้น ในวันนี้เอง เราได้เรียนรู้การเดินบนลำธารที่มีหินบางก้อนที่ลื่นมาก พร้อมทำให้เราเสียหลักล้ม บาดเจ็บได้ ผมถามเทคนิคทางพี่เต่ยว่า ต้องเดินเดินอย่างไรไม่ให้ลื่น เพราะตอลดเวลาที่ผมเดินตามพี่เค้า เดินเร็วมาก และไม่เห็นการเสียหลักของเค้าเลย เค้าอธิบายว่า รองเท้าของเค้ามีปุ่ม ซึ่งผมก็มี ผมจึงถามต่อไปว่า ต้องวางเท้าอย่างไร พี่เค้าบอกว่าให้วางจิกๆ สไลด์ปลายเท้าไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนเหยียบเต็มเท้า หินก้อนไหนลื่น ก็ไม่ต้องเหยียบ หรือถ้าเหยียบในทรายก็จะปลอดภัยไร้การลื่นแน่นอน วันนี้เราเดินทางค่อนข้างลำบากมาก ต้องเดินในน้ำเกือบตลอดเวลา บางช่วงต้องปีนเขาชัน บางช่วงต้องทำท่าทางคล้ายๆ กำลังไต่หน้าผาหิน ในช่วงที่เราต้องหาทางลงไปที่น้ำตกด้านล่าง ซึ่งผลของความยากลำบาก ก็แลกมากับการได้ดื่มด่ำธรรมชาติ ได้เห็นต้นไม้ทรงแปลกๆ ที่ลำต้นสูงเสียดฟ้าขึ้นไป แล้วค่อยไปแผ่กิ่งก้านสาขาด้านบนของต้น คล้ายๆ กับต้นไม้ในหนังอวตาร ได้ตั้งแคมป์ข้างๆ น้ำตก อาบน้ำฝักบัวจากน้ำตกธรรมชาติที่ยังเป็นต้นน้ำอยู่ น้ำเย็นฉ่ำ อุณหภูมิราว 22 องศา ใสสะอาด และไร้ซึ่งการรบกวนของนักท่องเที่ยว เพราะกว่าใครจะมาถึงน้ำตกนี้ได้ ต้องเดินเท้าเข้ามาในทางที่ค่อนข้างรก ระยะทางกว่า 9 กม. ใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง มันเป็นการอาบน้ำที่สดชื่นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย
วันที่ 3 เป็นวันที่เราต้องออกจากป่า ซึ่งต้องเดินเท้ากว่า 9 กม. เพื่อออกจากป่า ระหว่างทางเราได้เจอน้ำตกที่สวยงาม เพิ่มเติมอีก 1 แห่ง ซึ่งห่างจากปากทางออกจากป่า เพียง 4 กม.เท่านั้น ซึ่งยังเป็นน้ำตกที่ยังค่อนข้างสะอาด ปลอดขยะ เมื่อเทียบกับน้ำตกตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ทริปเข้าป่าตามรอยสัตว์ป่าครั้งนี้ สิ่งที่ผมได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่า คือการได้หนีความวุ่นวายในเมืองกรุง ได้ขาดการติดต่อจะระบบสื่อสารทุกๆ ชนิดราว 48 ชั่วโมง มีความสุขมาก ได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ ไร้เศษขยะจากฝีมือมนุษย์ มีเพียงมูลสัตว์ตามเส้นทางที่เราเดินเข้าไป จะว่าไปแล้ว เรากลับรู้สึกดีกว่าการได้เห็นขยะที่มนุษย์ทิ้งซากไว้ ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยไปซัมเมอร์ที่ออสเตรเลีย ต้องเดินข้ามภูเขา เพื่อลงไปในอ่าวที่เป็นชายหาดธรรมชาติที่สวยงามสุดของออสเตรเลีย ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีเพียงคณะเรา ระหว่างทางชาวออสเตรเลีย วางขยะไว้ที่โคนต้นไม้ แล้วกลับมานำกลับลงไปทิ้งที่ปากทางเข้า ซึ่งทริปนี้คณะที่เราเข้าไป ก็ทำแบบนั้น คือขยะที่ย่อยสลายมิได้ตามธรรมชาติ เรานำกลับมาทิ้งนอกป่าทั้งหมด
สุดยอดครับกับทริปเข้าป่าเดินตามรอยช้างในครั้งนี้ แม้จะเห็นแค่เพียงรอยเท้ากับขี้ช้าง กับซากกล้วยป่าพังทลาย ไม่ได้เห็นตัวเป็นๆ ของช้าง แต่ก็สัมผัสได้ว่า เราได้เข้าป่ามาอยู่ในดินแดนที่ธรรมชาติสุดๆ นอนกางเปล กินอาหารริมลำธาร แช่น้ำตกเย็นชุ่มฉ่ำ ชีวิตดี๊ดีครับ
เฉลิมวงศ์ บวรกีรติขจร
Chalermwong B.Kajorn
ผู้ดำเนินรายการตอบคำถามอุปกรณ์กอล์ฟ คลื่น FM99 รายการ Golf Trick ทุกวันศุกร์ เวลา 9:00-10:00 น.
ติดตามข้อมูล ความรู้ต่างๆ จากเราได้ที่
https://www.facebook.com/GolferOnlineMag/
https://www.facebook.com/cing8333
https://line.me/R/ti/p/%40golferonline
หรือค้นหาเพื่อนใน line โดยคีย์คำว่า @golferonline
7 / 12 / 2017
Tags : Travel , ท่องเที่ยว , เดินป่า